จะดื่ม "ชาสมุนไพร" อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดและปลอดภัย !!!

ทำไมต้องใส่ใจวิธีดื่มชาสมุนไพร?
ดื่มอย่างไรจึงจะเป็นการป้องกันและบำรุงสุขภาพ ดื่มแบบไหนจึงจะใช้เป็นยารักษาโรคและอาการที่ไม่พึงปรารถนาที่กล่าวมาคงจะอธิบายได้พอเข้าใจกันดีก่อนที่จะดื่มชากันอย่างมีความสุขนะครับ
สมุนไพรที่ใช้บริโภคแบบชา
สมุนไพรที่ใช้รูปแบบในการบริโภคเช่นเดียวกับชา เรามักจะเรียกว่า “ชาสมุนไพร” ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นสมุนไพรที่มีกลิ่น ที่ต้องการคงไว้ไม่ให้สูญเสียกับความร้อนที่มากเกินไป และผู้บริโภคที่นิยมดื่มชาสมุนไพร นอกจากต้องการฤทธิ์ทางยาแล้ว ยังต้องการสัมผัสกลิ่นที่ละเมียดละไมจากสมุนไพรด้วย
ส่วนคุณค่าทางยาของชาสมุนไพรนั้น ขึ้นยู่กับชนิดของตัวชาสมุนไพรที่นำมาปรุง ไม่ใช่ว่าชาสมุนไพรทุกชนิดจะปลอดภัยต่อการดื่มเสมอไป ตรงกันข้าม หากไม่รู้จักสรรพคุณทางยาที่เหมาะสมแล้ว ก็อาจจะเป็นอันตรายสำหรับบางคนได้ วิธีที่ดีที่สุดในการดื่มชาสมุนไพรก็คือต้องเรียนรู้ข้อมูลของสมุนไพร ที่ใช้ในการบริโภคเป็นอย่างดีเสียก่อนเพราะสมุนไพรแต่ละชนิดมีข้อควรระวัง ขนาด และสรรพคุณที่แตกต่างกันออกไป ยิ่งถ้าเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคที่รุนแรงด้วยแล้วก็ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ
สรรพคุณทั่วไปของชาสมุนไพร
ชาสมุนไพร ส่วนใหญ่ จะมีสรรพคุณในการบำรุงสุขภาพโดยช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับลม หรือเพียงเพื่อเสพกลิ่นรสเช่น ชาใบเตย ชาใบตะไคร้ ชามะตูม ที่มักจะดื่มได้เรื่อย ๆ ไม่จำกัดปริมาณหรือเวลา ชาสมุนไพรที่มีขายในท้องตลาดส่วนใหญ่มักจะเป็นชาประเภทนี้ สรรพคุณของสมุนไพร บางชนิดที่นำมาทำเป็นชาชงดื่มที่นิยมกันมาก เช่นตัวอย่างชาสมุนไพรไทยยอดนิยม
ชารางจืด กำจัดพิษ (Detoxifier and Body-cleanser) ทำจากใบรางจืดอบแห้งมีกลิ่นใบไม้แห้ง หอมอ่อน ๆ เป็นธรรมชาติ ให้น้ำชาสีน้ำตาลออกเขียว มีสรรพคุณกำจัดพิษ แก้เมาค้าง บรรเทาอาการผื่นแพ้ และลดความร้อนในร่างกาย เหมาะกับเมืองไทยในขณะนี้ ที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ชารางจืดไม่มีพิษดื่มเป็นประจำได้ทุกวัน
ชามะตูม บำรุงสุขภาพ (Tonic) ทำจากผลมะตูมแก่ บดเป็นผง ให้น้ำชาสีแดงออกน้ำตาล มีกลิ่นหอมหวานชวนดื่ม ส่วนใหญ่จะแต่งรสด้วยน้ำตาล เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น มะตูมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ร้อนใน เป็นยาอายุวัฒนะ
ชาขิง แก้หวัด และช่วยย่อย (Cold aid, digestive aid) ทำจากเหง้าขิงแก่ ที่มีน้ำมันหอมระเหย มีสรรพคุณทางร้อน ช่วยบรรเทาหวัด แก้คลื่นไส้อาเจียน เมารถเมาเรือ ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดหากคนเราถ้าระบบย่อยอาหารไม่ดีแล้ว ระบบอื่นก็จะพลอยรวนไปด้วย
ชากระเจี๊ยบ ขับปัสสาวะ ไขมันในเลือด (Diuretic, Lower blood cholesterol) ได้มาจากดอกของกระเจี๊ยบแดง มีคุณสมบัติในการลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิตสูง แก้กระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอชื่นใจ ชากระเจี๊ยบมีสีแดง รสเปรี้ยวมักเติมน้ำตาลเพื่อแต่งรส
ชาตะไคร้ ขับลม ช่วยย่อย (Digestive aid, anticramp) ทำจากต้นและใบตะไคร้อบให้แห้งแล้วบด ตะไคร้จะมีกลิ่นหอม ช่วยย่อยอาหาร แก้ลมวิงเวียน แก้ปวดเกร็งในท้อง ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ และมีรายงานการทดลองพบว่า ตะไคร้นั้นมีคุณสมบัติต้านมะเร็งได้อีกด้วย
ชาใบเตย บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ (Tonic, diuretic) ทำจากใบเตยหอม อบแห้ง บดเป็นผง มีสีเขียวใบเตย มีกลิ่นหอมชื่นใจ ใบเตยมีคุณสมบัติขับปัสสาวะ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ชาใบเตยจึงเหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง คนธรรมดาทั่วไปก็ดื่มได้ กลิ่นหอมของใบเตยชื่นใจ คลายเครียดได้ดี
ชาชุมเห็ดเทศ ช่วยระบายท้อง (Laxative) ได้จากใบชุมเห็ดเทศคั่วให้แห้ง เพื่อลดการไซ้ท้อง แล้วบดเป็นผง ให้น้ำชาเป็นสีน้ำตาลมีกลิ่นหอมของใบไม้คั่ว มีสรรพคุณเป็นยาระบาย แต่หากดื่มเป็นประจำร่างกายก็อาจดื้อยาได้ ควรหาวิธีอื่นในการสร้างนิสัยการถ่ายให้เป็นประจำโดยวิธีอื่นด้วย
ชาใบฝรั่ง ดับกลิ่น ฆ่าเชื้อ (Deodorant & antiseptic, antidiarrhea) ทำจากใบฝรั่งไทยอบให้แห้ง บดเป็นผง มีกลิ่นหอมชวนดื่ม มีคุณสมบัติดับกลิ่นปาก ฆ่าเชื้อในปากและคอ เหมาะที่จะรับประทานหลังอาหาร สามารถที่จะใช้ชาใบฝรั่งระงับอาการท้องเสีย (ในรายที่ไม่มีไข้) แต่ต้องชงอย่างเข้มข้นกว่าปกติ
ชาหญ้าหนวดแมว ขับปัสสาวะ (Diuretic) ทำจากหญ้าหนวดแมวอบแห้งบด มีรสคล้าย ๆ ใบชา มีคุณสมบัติขับปัสสาวะ ขับนิ่วก้อนเล็ก ๆ มีคุณสมบัติขับกรดยูริก เหมาะกับคนที่เป็นต่อมลูกหมากโต คนที่เป็นนิ่วก้อนเล็ก ๆ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน มีโพแทสเซียมสูง ระวังการใช้กับคนที่เป็นโรคหัวใจ
ชาดอกคำฝอย ลดไขมันในเลือด (Lower blood cholesterol) ได้จากดอกคำฝอยมีสีแดงชวนดื่ม กลิ่นหอมชื่นใจ มีคุณสมบัติลดไขมันในเส้นเลือด ขับเหงื่อ เป็นยาระบายอ่อน ๆ บำรุงเลือดสตรี ขับระดู ระงับอาการปวดในสตรีที่รอบเดือนไม่ปกติ
ชาสมุนไพรกับวิถีชีวิตไทย
ตัวอย่างชาสมุนไพรที่กล่าวมา เป็นชาสมุนไพรไทย ที่มีขายอยู่มากในท้องตลาด ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สามารถดื่มได้ทุกวัน บ้านเรายังมีสมุนไพรมากมายที่สามารถพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบของชาสมุนไพรได้ เช่น เราสามารถทำชาใบมะกรูด ชากะเพรา จากก้นครัวของเรา มารับรองแขก แม้ไม่มีขาย เราเพียงแต่เอาใบมะกรูดที่ใช้ไม่หมดมาผึ่งลมจนแห้ง (ต้องผึ่งลม อย่าตากแดด เพราะกลิ่นและตัวยาจะหายไป) แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่โหลปิดให้สนิททิ้งไว้ เวลาจะใช้ก็เอามาชงต่างใบชาหรือจะใช้น้ำผึ้งแต่งรสเวลาดื่มก็ดี แค่นี้เราก็มีน้ำชารับรองแขกที่ไม่เหมือนใคร
ประโยชน์ต่อระบบย่อยและขับถ่าย
การดื่มชาสมุนไพรหลังอาหาร หรือดื่มไปพร้อม ๆ กับการรับประทานอาหารนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายแล้ว ในทางแพทย์วิจัยได้ว่ายังสามารถช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายในหลาย ๆ ส่วน เช่น ระบบการย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบปัสสาวะ หัวใจทำงานได้ดี และยังเป็นตัวช่วยสะสาง ขับล้างไขมันที่เกาะติดอยู่ตามลำไส้อีกด้วยหรือที่เรียกว่า Detox สมุนไพรที่บ้านเรามีอยู่มากมายนี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์แถมยังหาได้ง่ายอีกด้วย ประโยชน์ของชาสมุนไพรมีมากมายมหาศาลขนาดนี้ คงไม่น่าจะปล่อยให้รู้แล้วผ่านเลยไปใช่หรือเปล่าครับวิธีชงชาสมุนไพรให้ได้สารสำคัญสูงสุด
ใช้น้ำอุณหภูมิ 80-90 °C (ไม่เดือดพล่าน) เพื่อรักษาน้ำมันหอมระเหยและสารต้านอนุมูลอิสระ แช่ใบหรือผงสมุนไพร 3-5 นาทีพอให้สีและกลิ่นออกเต็มที่ หากต้องการรสเข้มข้นควรเพิ่มปริมาณสมุนไพร ไม่ควรยืดเวลาชงเพราะอาจทำให้รสฝาดและสูญเสียสารสำคัญ
กลุ่มคนที่ควรระวังเมื่อดื่มชาสมุนไพร
หลังอบแห้งหรือเปิดซองควรเก็บในภาชนะทึบแสง ฝาปิดสนิท หลีกเลี่ยงแสงแดด ความชื้น และความร้อนสูง ไม่ควรแช่ตู้เย็นเพราะอาจดูดซับกลิ่นอื่น ๆ และเกิดความชื้น เมื่อสัมผัสอากาศควรใช้ภายใน 3-6 เดือนเพื่อคงกลิ่นและสรรพคุณสูงสุด
การเก็บรักษาชาสมุนไพรให้หอมสดนาน
ใช้น้ำอุณหภูมิ 80-90 °C (ไม่เดือดพล่าน) เพื่อรักษาน้ำมันหอมระเหยและสารต้านอนุมูลอิสระ แช่ใบหรือผงสมุนไพร 3-5 นาทีพอให้สีและกลิ่นออกเต็มที่ หากต้องการรสเข้มข้นควรเพิ่มปริมาณสมุนไพร ไม่ควรยืดเวลาชงเพราะอาจทำให้รสฝาดและสูญเสียสารสำคัญ
